ถุงยางอนามัยมีประวัติการใช้มายาวนานตั้งแต่สมัยโรมัน และอียิปต์โบราณ ที่ในระยะแรกทำจากลำไส้ของแกะหรือแพะ และต่อมาทำด้วยยางธรรมชาติ และพลาสติกพอลิเมอร์ โดยถุงยางอนามัยมีประวัติมาตั้งแต่อดีต ดังนี้
- ป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์ ได้แก่ เอดส์ ซิฟิลิส เริม ไวรัสตับอักเสบ หนองไน เป็นต้น
- ช่วยลดความไวต่อความรู้สึกสัมผัสขณะร่วมเพศทำให้ร่วมเพศได้นานขึ้น และช่วยให้ฝ่ายหญิงมีโอกาสถึงจุดหลั่งพร้อมฝ่ายชายได้มากขึ้น
- ใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ไม้ให้เชื้ออสุจิเข้าผสมกับไข่ฝ่ายหญิง
- ช่วยรักษาความเป็นหมันในสตรีที่มีความต้านทานต่อเชื้อของสามี จากการให้ฝ่ายชายใช้ถุงยางไปสักระยะหนึ่งเพื่อไม่ให้ฝ่ายหญิงได้รับน้ำเชื้อ อสุจิสำหรับการลดการต้านทานเชื้ออสุจิในฝ่ายหญิง
ข้อดีการใช้ถุงยางอนามัย
- มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ และการติดโรคทางเพศสัมพันธุ์ได้สูง
- มีความปลอดภัย ไม่มีผลกระทบต่ออวัยวะระบบสืบพันธุ์
- ไม่มีผลต่อการเจริญพันธุ์ทั้งฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงในขณะใช้หรือเมื่อเลิกใช้
- หาซื้อได้ง่าย ใช้ง่าย สะดวก และราคาถูก
กรณีพิเศษสำหรับการใช้ถุงยางอนามัย
- ใช้คุมกำเนิดสำหรับสามีภรรยาที่นานๆครั้งได้พบกันหรือนานครั้งที่มีเพศสัมพันธุ์
- ใช้คุมกำเนิดสำหรับสตรีที่ต้องการใช้ยาคุมกำเนิด
- ใช้สำหรับสามีภรรยาที่อยู่ระหว่างการรักษาโรคทางเพศสัมพันธุ์
- ใช้ในกรณีที่ยังไม่แน่ใจว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ เพราะการใช้ถุงยางอนามัยไม่ทำให้ตั้งครรภ์
- ใช้ในกรณีที่รอเริ่มวิธีการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น
- ใช้ในกรณียาเม็ดคุมกำเนิดหมด หาซื้อไม่ได้
- ใช้ในกรณีลืมกินยาคุมกำเนิดหรือเลยกำหนดอายุยาคุมกำเนิดสำหรับแบบฉีด
- ใช้สำหรับวัยรุ่นหรือบางคนที่มีเพศสัมพันธุ์บ่อย
- ใช้คุมกำเนิดสลับในช่วงการนับระยะปลอดภัยที่อาจผิดพลาดได้